เวส บราวน์ อดีตกองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ ถูกศาลฏีกาพิพากษาเป็นบุคคลล้มละลาย จากการเปิดเผยของ "เดลี่ เมล" สื่อดังในเมืองผู้ดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา

สำนักงานสรรพากรและศุลกากรของสหราชอาณาจักร (เอชเอ็มอาร์ซี-HMRC) ได้ยื่นเรื่องฟ้องล้มลายกับ บราวน์ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นคำฟ้องร้องดังกล่าวศาลฎีกาได้สั่งให้มีผลเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา และถูกบันทึกลงหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว

บราวน์ ปัจจุบันอายุ 43 ปีมีโอกาสได้อยู่กับทัพ "ปีศาจแดง" 15 ปี เคยมีรายได้ 50,000 ปอนด์ (ราว 2.1 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ในช่วงระหว่างที่ค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

อดีตนักเตะเจ้าของฉายา "ไอ้น้ำตาล" ผ่านการลงสนามให้กับ แมนฯ ยูฯ 362 เกม คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย โดยเขายังเป็นหนึ่งในขุนพล "ผีแดง" ชุดสร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ ปี 1999 ด้วย

ขณะเดียวกัน บราวน์ ยังมีโอกาสได้ติดทีมชาติอังกฤษ 23 แมตช์ และลงเล่นให้กับ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ กับ "กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส หลังจากโบกมือลา แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2011

นอกจากจะเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว เมื่อปีที่ผ่านมามีรายงานว่า บราวน์ ยังต้องแยกทางกับ ลีแอนน์ ภรรยาวัย 46 ปี ซึ่งเป็นนักแสดง Real Housewives of Cheshire เรียลลิตี้โชว์ชื่อดัง โดยพวกเขาแต่งงานกันเมื่อปี 2009 และมีลูกด้วยกัน 3 คน

เจ้าหน้าที่ตำรวจลอนดอนระบุ กำลังสอบสวนกรณีที่ บูคาโย่ ซาก้า กองหน้าทีม อาร์เซน่อล ถูกเหยียดผิวหลังสังหารลูกโทษพลาดในเกม พรีเมียร์ลีก นัดที่ เดอะ กันเนอร์ส บุกไปเสมอกับ เวสต์แฮม 2-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ซาก้า เคยตกเป็นเหยื่อการเหยียดผิวมาแล้วช่วงที่เขายิงลูกโทษเป็นคนสุดท้ายพลาดในศึก ยูโร 2020 นัดชิงชนะเลิศซึ่งทีมชาติ อังกฤษ พ่ายต่อ อิตาลี ในการดวลลูกโทษตัดสินหลังเสมอกันใน 120 นาที 1-1

กระทั่งล่าสุด ขุนพลทีม ปืนใหญ่ หนีไม่พ้นโดนเหยียดผิวซ้ำอีกหลังถูกมองว่าเป็นต้นเหตุทำให้ทีมเสมอกับ ขุนค้อน เนื่องจากเขามีโอกาสเพิ่มสกอร์เป็น 3-1 แต่สังหารลูกโทษหลุดกรอบ และโดนเจ้าบ้านตีเสมอ 2-2 หลังจากนั้นอีกอึดใจเดียวในเกมดาร์บี้แมตช์ที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม

รายงานข่าวเผยว่าพ่อค้าแข้งวัย 21 ปีถูกแฟนบอลโพสต์โจมตีในโซเชี่ยลมีเดียหลังจบเกมไม่นานด้วยภาพที่ทำให้เขาดูเหมือนลิง พร้อมกำกับข้อความ "ตัวตลกตัวนี้ทำให้เราพลาดแชมป์ลีก" ซึ่งแม้จะมีการลบทิ้งในเวลาต่อมา แต่มันถูกเผยแพร่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถูกแฟนบอลน้ำดีส่งมอบเป็นหลักฐานให้กับตำรวจ

ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชี้แจงว่ากำลังสอบสวนประเด็นดังกล่าวเพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ

"เราได้รับรายงานแล้ว และเรากำลังสอบสวนอยู่" โปลิศลอนดอนเผยเมื่อ 18 เม.ย.

สิงห์อีซ้ายของแท้... โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยอดดาวยิง ลิเวอร์พูล แซง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ครองเบอร์หนึ่งแต่เพียงผู้เดียวเรียบร้อย สำหรับการเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูด้วยเท้าซ้ายมากสุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าคนสำคัญของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นผู้เล่นที่ทำประตูด้วยเท้าซ้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่จำนวน 107 ลูก หลังล่าสุดกดด้วยซ้ายเพิ่มอีกสองตุงในเกมที่ "หงส์แดง" บุกถล่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด 6-1 เมื่อวันจันทร์ที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา

ก่อนหน้าเกมนี้ ซาลาห์ ครองเบอร์หนึ่งร่วมกับ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ตำนานดาวยิง ลิเวอร์พูล ที่จำนวน 105 ประตู แต่สองประตูจากเกมที่ เอลแลนด์ โร้ด ทำให้ ยอดดาวยิงชาวอียิปต์วัย 30 ปี ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งแต่เพียงผู้เดียวเรียบร้อย

ทั้งนี้ ซาลาห์ ทำประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ไปแล้วทั้งสิ้น 135 ลูก โดยมาจากการยิงด้วยเท้าซ้าย 107 ลูก ซึ่งคิดเป็น 79.3% เลยทีเดียว

สรุป 10 อันดับแรก ผู้เล่นที่ทำประตูด้วยเท้าซ้ายมากสุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

1. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 107 ประตู

2. ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ 105 ประตู

3. โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ 94 ประตู

4. ไรอัน กิ๊กส์ 83 ประตู

5. ริยาด มาห์เรซ 65 ประตู

6. โรเมลู ลูกากู 60

7. โอลิวิเยร์ ชิรูด์ 50

8. ดาบิด ซิลบา 49

9. แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ 47

10. หลุยส์ ซาฮา 46

เจก พอล ยูทูเบอร์ วัย 26 ปี เตรียมขึ้นชกกับ เนต ดิอาซ อดีตนักสู้ยูเอฟซี ในกติกามวยสากล ที่ดัลลัส สหรัฐอเมริกา ในเดือนสิงหาคมนี้

สำหรับ เจก พอล เคยขึ้นชกอาชีพมาแล้ว 7 ไฟต์ นับตั้งแต่ปี 2019 แต่เพิ่งจะพ่ายครั้งแรก ในการพบกับ ทอมมี ฟิวรี เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

ขณะที่ฝั่งของ ดิอาซ ปัจจุบันอายุ 37 ปี ซึ่งเขาเป็นนักสู้ในสังเวียนมากว่า 15 ปี ก่อนจะบอกลาวงการดังกล่าวเมื่อปีที่แล้ว

สำหรับพอล ืมีผู้ติดตามในยูทูบกว่า 20 ล้านคน โดยก่อนหน้านี้เขาเคยเอาชนะอดีตนักสู้ยูเอฟซี ทั้ง ไทรอน วูดลีย์, แอนเดอร์สัน ซิลวา มาแล้ว

ดีทมาร์ ฮามันน์ ระบุ โจเซป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ แมนฯ ซิตี้ ถูกสรรเสริญเยินยอมากเกินไป หลังจากหลายคนยกให้ กวาร์ดิโอล่า เป็นกุนซือที่เก่งที่สุด

ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตกองกลางคนดัง กล่าวว่า โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถูกยกย่องมากเกินกว่าเหตุ

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ได้รับคำชมจากหลายฝ่ายว่าเป็นหนึ่งในกุนซือที่เก่งที่สุดของวงการลูกหนัง ภายหลังประสบความสำเร็จได้อยู่เสมอไม่ว่าจะตอนคุม บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แถมทีมของเขายังมักจะเล่นเกมรุกได้ดีสุดๆ ด้วย แต่หลายคนก็มองว่าเขาไม่สมควรได้รับการยกย่องขนาดนั้นเพราะนอกจากตอนคุม "อาซูลกราน่า" แล้วนั้น เขาก็ยังไม่เคยได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพิ่มเลย

"จนถึงตอนนี้ กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ยิ่งใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าคนอื่นไม่เคยทำได้มาก่อน ทุกคนพร่ำบอกคุณว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นสุดยอดเจ้าพ่อของวงการโค้ช แต่เขาเคยพา แมนฯ ซิตี้ เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะต้องแพ้เพราะตัวของเขาเอง แล้วตอนนี้หลายคนมาบอกผมว่าเขาเป็นกุนซือที่เก่งที่สุดในโลกเนี่ยนะ โทษทีเถอะ" ฮามันน์ ระบุ

ทั้งนี้ ฮามันน์ มักจะออกมาพูดเชิงไม่ดีต่อ กวาร์ดิโอล่า อยู่บ่อยๆ อย่างเช่นการบอกว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ถือเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากกว่า วาร์ดิโอล่า และการระบุว่า กวาร์ดิโอล่า วางแผนพลาดเองจนทำให้ทีมตกรอบรองชนะเลิศของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นก่อน เป็นต้น

อาร์เซน่อล พลาดโอกาสทิ้งระยะห่างจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 8 คะแนนเมื่อพวกเขาทำได้เพียงแค่บุกไปเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 เกม "บิ๊กแมตช์" ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ช่องว่างระหว่างพวกเขากับ "เรือใบสีฟ้า" เหลือเพียง 6 คะแนนและแข่งมากกว่า 1 แมตช์

แน่นอนว่าการสะดุดทำแต้มหลุดมือ 2 คะแนนที่สนามแอนฟิลด์ ส่งผลกระทบต่อการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีของพวกเขาทันที เพราะนอกจากระยะห่างจะลดลงมาแล้ว อาร์เซน่อล ยังมีคิวไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม ในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ด้วย ซึ่งว่ากันว่าอาจจะเป็นเกมตัดสินแชมป์ก็ว่าได้

สำหรับตอนนี้เส้นทางการลุ้นแชมป์ของทั้งสองทีมน่าสนใจมากๆ โดย อาร์เซน่อล ที่พยายามจะคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 19 ปีมีโปรแกรมค่อนข้างหนัก เมื่อเทียบกับ แมนฯ ซิตี้

เพื่อให้มองเห็นภาพชัดเจนงานนี้คอลูกหนังต้องมาลองเช็คโปรแกรมของ "ไอ้ปืนใหญ่" และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากนั้นก็ลองมาวิเคราะห์กันว่าทีมไหนมีภาษีที่จะได้แชมป์ในฤดูกาลนี้

อาร์เซน่อล : 73 คะแนน

"เดอะ กันเนอร์ส" ยังคงมีโอกาสดีที่จะเรียกสติกลับมาหลังทำได้แค่เสมอ ลิเวอร์พูล เมื่อพวกเขามีคิวทำศึกลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ เยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทีมหนีตาย ในช่วงสุดสัปดาห์หน้า โดยทีมของกุนซือเดวิด มอยส์ ผลงานยังลุ่มๆ ดอนๆ ก่อนหน้านี้แพ้ยับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 1-5 แต่แก้มือได้ในเกมเฉือน ฟูแล่ม 1-0

นอกจากนี้ อาร์เซน่อล ยังมีคิวเปิดบ้านรับมือ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมจมบ๊วยของตารางลีก ก่อนจะเจอกับศึกใหญ่ 4 แมตช์ติดต่อกัน ซึ่งว่ากันว่ามีโอกาสที่จะตัดสินอนาคตการลุ้นแชมป์ของพวกเขาเลยก็ว่าได้

เริ่มจากเยือน แมนฯ ซิตี้ ตามด้วยเปิดรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทำศึกลอนดอน ดาร์บี้แมตช์อีกครั้ง ปะทะ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ตามด้วยเยือน นิวคาสเซิ่ล  ซึ่งต้องการสามคะแนนเพื่อลุ้นอันดับท็อปโฟร์ รวมทั้งดวล ไบรท์ตัน อีกหนึ่งทีมที่ยังมีลุ้นพื้นที่ฟุตบอลถ้วยยุโรป



โปรแกรมเกมลีกที่เหลืออยู่ของ อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้

16 เม.ย. พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เยือน)

21 เม.ย. พบ เซาธ์แฮมป์ตัน (เหย้า

26 เม.ย. พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เยือน)

29 เม.ย. พบ เชลซี (เหย้า)

7 พ.ค. พบ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (เยือน)

14 พ.ค. พบ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน (เหย้า)

20 พ.ค. พบ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ (เยือน)

28 พ.ค. พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (เหย้า)

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 67 คะแนน

ตอนนี้เป็นช่วงที่ แมนฯ ซิตี้ ขาขึ้นของจริง เพราะทุกซีซั่นที่อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายเกมลีก ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยสะดุดเลย ล่าสุดพวกเขาก็จัดการเก็บชัยชนะเรียบวุธ 5 แมตช์ติดต่อกัน ทำให้ตอนนี้ทีมกำลังหายใจรดต้นคอ อาร์เซน่อล

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป๊ป แอนด์ โค. มีประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์มาหลายปี ที่สำคัญพวกเขายังเก่งในเรื่องการรับมือแรงกดดันแม้ว่าจะตามหลังคู่แข่ง แต่สุดท้ายก็สามารถเบียดแซงปาดหน้าคว้าแชมป์มาได้

สำหรับโปรแกรมของ "เรือใบสีฟ้า" ถ้าหากมองแบบเป็นกลางต้องบอกเลยว่าพวกเขาเจอคู่แข่งไม่ค่อยน่ากลัวเลย ถ้าไม่นับ อาร์เซน่อล กับ เชลซี ที่เหลือก็มีสภาพทีมที่เป็นรองพวกเขาหลายขุม

กระนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญอาจจะมาจากบรรดาทีมหนีตายไม่ว่าจะเป็น เลสเตอร์ ซิตี้, เวสต์แฮม, ลีดส์ ยูไนเต็ด, เอเวอร์ตัน พร้อมที่จะสู้สุดใจเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในลีก ขณะที่ ไบรท์ตัน ก็ต้องการสามคะแนนเพื่อโอกาสไปลุยฟุตบอลถ้วยยุโรป



โปรแกรมเกมลีกที่เหลืออยู่ของ แมนฯซิตี้ ในฤดูกาลนี้

15 เม.ย. พบ เลสเตอร์ ซิตี้ (เหย้า)

26 เม.ย. พบ อาร์เซน่อล (เหย้า)

30 เม.ย. พบ ฟูแล่ม (เยือน)

3 พ.ค. พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เหย้า)

7 พ.ค. พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด (เหย้า)

14 พ.ค.  พบ เอฟเวอร์ตัน (เยือน)

20 พ.ค. พบ เชลซี (เหย้า)

28 พ.ค. พบ เบรนท์ฟอร์ด (เยือน)

พบ ไบรท์ตัน (ยังไม่ได้กำหนดวันแข่ง)

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังจอมแกร่ง ลิเวอร์พูล เชื่อมั่นทัพ "หงส์แดง" จะกลับมาสร้างช่วงเวลาที่สุดพิเศษร่วมกัน หลังต้นสังกัดเพิ่งโชว์ฟอร์มแกร่งเสมอ อาร์เซน่อล 2-2 ที่สนามแอนฟิลด์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา

เจ้าบ้านเริ่มต้นเกมไม่ค่อยดีนัก และโดน "ไอ้ปืนใหญ่" ทำประตูขึ้นนำไปก่อน 2-0 จาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ กาเบรียล เชซุส อย่างไรก็ตามเจ้าบ้านค่อยๆ รวมพลังประจัญบานและได้ประตูตีไข่แตกจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ขณะที่ครึ่งหลัง "เดอะ เร้ดส์" ครองเกมได้เหลือกว่าสร้างจังหวะอันตรายได้หลายครั้ง และมาได้จุดโทษ แต่ "บังโม" ยิงออกไปอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตามพวกเขามาตีเสมอได้สำเร็จจากจังหวะการเปิดบอลของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์  ที่ให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โหม่งเข้าไป จบเกมเสมอกันไปอย่างสุดมัน 2-2

สำหรับการเก็บได้ 1 แต้มทำให้ตอนนี้ "หงส์แดง" มี 44 คะแนน รั้งอันดับ 8 โดยห่างจากท็อปโฟร์ 12 คะแนน อย่างไรก็ตาม ฟาน ไดค์ เชื่อว่าการทำงานหนักจะทำให้พวกตนมีโอกาสสร้างโมเมนต์ที่น่าเหลือเชื่อได้

"ด้วยการที่ทำงานหนักเราทุกคนเชื่อว่าเราสามารถกลับมาสร้างช่วงเวลาที่แสนพิเศษร่วมกันได้ ทีมชุดนี้ไม่เคยยอมแพ้" เซนเตอร์แบ็กทีมชาติเนเธอร์แลนด์ กล่าวอย่างเชื่อมั่น

เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กล่าวชื่นชมความพยายามของลูกทีมที่พลิกเกมได้เยี่ยมในครึ่งหลังกระทั่งยิงได้สองประตูบุกมาแซงชนะ เบรนท์ฟอร์ด 2-1 เก็บสามแต้มขึ้นรั้งอันดับสามได้ตามเดิมจากการลงบู๊ศึก พรีเมียร์ลีก ที่สนาม จีเท็ค คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันเสาร์ที่ 8 เม.ย.

นิวคาสเซิ่ล ลงสนามตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเปิดบ้านสยบ เอฟเวอร์ตัน 2-0 และแม้พวกเขาจะเสียลูกโทษให้ เดอะ บีส์ นำก่อนในท้ายครึ่งแรกจากการสังหารไม่พลาดเป็นหนสองของ ไอแวน โทนีย์ แต่เข้าครึ่งหลังทีมอีสานพลิกกลับมาเล่นได้อย่างน่าประทับใจ พร้อมทั้งได้สองประตูแซงชนะ และกลับไปยึดอันดับสามคืนจาก ผีแดง ได้สำเร็จด้วยผลต่างประตูได้เสียที่เหนือกว่าตามเดิม

"มันเป็นเกมที่ยากมาก มันเป็นเกมที่ต้องใข้ความแข็งแกร่งเข้าห้ำหั่นกัน และเรารู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น เราย่ำแย่ในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังนักเตะตอบสนองกันได้ดีทั้งๆที่เราต้องเล่นสามนัดในหกวัน พวกเขาทุ่มเทกันอย่างเต็มที่จนกระทั่งได้ผลลัพธ์" ฮาว ให้สัมภาษณ์

ต่อลูกโทษที่ สาลิกาดง เสียให้กับเจ้าบ้าน ฮาว เอ่ยว่า "ผมเพิ่งได้ดูภาพรีเพลย์หนเดียว และผมคิดว่ามันร้ายแรงเกินไปสำหรับเรา ผมคิดว่าลูกแฮนด์บอลของ คัลลั่ม รุนแรงมากไป แต่มันเป็นความคิดเห็นของผม"

"เราเปลี่ยนแท็คติกในครึ่งหลัง บางครั้งมันทำให้คุณดีขึ้น เรารู้ว่าเราต้องการชัยชนะอย่างยิ่ง และเราทุ่มเทกันอย่างสุดความสามารถ นักเตะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งแม้ว่าเราจะอ่อนล้า มันคือบุคลิกภาพที่เรามี"

"ผมคิดว่า ลัคลั่ม วิลสัน กับ อเล็กซานเดอร์ อิซัก สามารถเล่นคู่กันได้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมสำหรับทีม เราไม่ต้องการกดดันตัวเองเพื่อให้ทีมแย่ เราต้องการคำนึงถึงผลประโยชน์ของทีม วันนี้มันมีความเหมาะสม และทั้งสองสร้างปัญหาให้พวกเขาอย่างไม่จบสิ้น"

อารอน แรมส์เดล ผู้รักษาประตูของ อาร์เซนอล เผยว่า ยุสซี ยัสเคไลเนน และ จานลุยจิ บุฟฟอน คือสองยอดผู้รักษาประตูที่เป็นแรงบันดาลใจในการอยากเล่นตำแหน่งนายทวารของเขา

แรมส์เดล วัย 24 ปี เริ่มต้นการเล่นฟุตบอลในทีมเยาวชนของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส มาก่อนในยุคที่ ยัสเคไลเนน นายทวารทีมชาติฟินแลนด์เป็นมือหนึ่งของ "เดอะ ทร็อตเตอร์ส" นั่นทำให้ฝ่ายหลังกลายเป็นฮีโร่ของเขา และได้มาเผยแพร่วิชามือกาวในโรงเรียนที่ แรมส์เดล ศึกษาอยู่

"ตอนผมเข้าสู่ระบบเยาวชนของ โบลตัน ยุสซี ยัสเคไลเนน มีอิทธิพลต่ออาชีพของผมอย่างมาก เขาคือแรงบันดาลใจในการเล่นของผม ผมได้ดูเขาลงเล่นเกมในบ้านของ โบลตัน ทุกเกม ต่อมาครอบครัวของเราก็สนิทกัน ผมได้คุยกับเขาเกี่ยวกับฟุตบอล ได้เล่นฟุตบอลด้วยกันในสวน ลูกชายของเขาก็อายุเท่ากับผม"

"ทุกวันนี้ผมก็ยังสนิทกับพวกเขา เฟร็ด บาร์เบอร์ โค้ชของ ยุสซี สมัยเล่นกับ โบลตัน ก็เป็นโค้ชให้ผมตอนผมย้ายไปเล่นกับ สโตค ซิตี้ ตามมาด้วย ครูว์ อเล็กซานดรา นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับ ยุสซี มันเกิดมาจากหลายทางมาก หลายบุคคลมาก แต่แน่นอนที่สุด เขาคือต้นแบบในการเล่นฟุตบอลของผม"

ในปี 2006 ฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ แรมส์เดล ได้ติดตามชมแบบจริงจัง จนทำให้เขารู้จักกับ จานลุยจิ บุฟฟอน ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ และกลายเป็นหนึ่งในต้นแบบของเขา ซึ่งทุกวันนี้ บุฟฟอน ในวัย 45 ปี ยังคงลงเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร ปาร์มา สโมสรในกัลโช เซเรีย บี อิตาลี

"ความทรงจำแรกของผมเกี่ยวกับฟุตบอลและการเล่นนายทวารแบบจริงจังคือฟุตบอลโลก 2006 ตอนนั้นผมอายุ 8 ขวบ ผมได้เสื้อของ บุฟฟอน สีทองที่มีขลิบสีขาว เป็นเสื้อแขนสั้น"

"นั่นเป็นเหตุว่าทำไมผมถึงสวมเสื้อแขนสั้นลงสนาม เพราะผมเห็น บุฟฟอน ใส่ในโทรทัศน์ เขาเป็นคนแรกที่ผมนั่งดูการเล่นแบบจริงจัง ผมชอบแนวทางการเล่นของเขา เสื้อผ้าของเขาก็ด้วย นายทวารใส่เสื้อแขนสั้น ลงสนามแล้วโดดเด่นมาก ผมจำได้ว่าเขาเคยใส่ผ้าคาดผมด้วยบางครั้ง จำได้ว่าผมดูเขาคว้าแชมป์โลกและตื่นเต้นกับเขามาก"

"ผู้รักษาประตูเป็นตำแหน่งเดียวในสนามที่แม้คุณจะอยู่ในทีมเดียวกัน แต่ก็ยังสวมเสื้อคนละสีกับเพื่อนร่วมทีม เราโดดเด่นเสมอ"

สมาคมฟุตบอล (เอฟเอ) ประกาศตั้งข้อหา ลิเวอร์พูล ตามความคาดหมายโทษฐานไม่อาจควบคุมความประพฤติของนักเตะได้ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปแพ้ แมนฯ ซิตี้ 4-1

เอฟเอ แถลงเมื่อ 6 เม.ย.ตั้งข้อหา ลิเวอร์พูล เนื่องจากนักเตะของพวกเขากรูกันเข้าห้อมล้อมผู้ตัดสิน ไซม่อน ฮูเปอร์ เพื่อบีบให้เขาแจกใบเหลืองที่สองไล่ โรดี้ ออก ในช่วงครึ่งแรกซึ่งทั้งสองทีมเสมอกันอยู่ 1-1

อย่างไรก็ดี ท่านเปาเมินที่จะแจกใบเหลืองเพิ่มให้กับนักเตะเจ้าบ้าน และมีผลทำให้ เรือใบสีฟ้า แซงชนะ เร้ด แมชีน อย่างขาดลอย 4-1 แถมในจังหวะที่ทีมเจ้าบ้านตีเสมอ 1-1 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือสแปนิชถูกวิจารณ์ว่าไม่ให้ความเคารพต่อทีมเยือนด้วยจากการแสดงความดีใจต่อหน้า คอสตาส ซิมิคาส ตัวสำรองของทีมคู่แข่งบริเวณริมสนามซึ่งถูกมองว่าเป็นการเยาะเย้อ แต่ เอฟเอ พิจารณาไปก่อนแล้วว่าไม่เข้าข่ายความผิดข้อ E3 จึงทำให้กุนซือสกินเฮดไม่ถูกเอาผิด

"ลิเวอร์พูล ถูกตั้งข้อหาหลังจากนักเตะของพวกเขาเข้าล้อมเจ้าหน้าที่ในนาทีที่ 34 ของเกม พรีเมียร์ลีก นัดดวลกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อวันเสาร์ที่ 1 เม.ย." เอฟเอ แจกแจง

"มีการกล่าวหาว่า ลิเวอร์พูล ไม่อาจควบคุมความประพฤติของนักเตะให้อยู่ในกรอบอย่างเหมาะสมได้ และสโมสรมีเวลาจนถึงวันพุธที่ 12 เม.ย.ต่อการตอบสนอง"